วันพุธที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

จำนวนผู้เข้าชม

<p style="align: center"><a href="http://www.amazingcounters.com"><img border="0" src="http://cc.amazingcounters.com/counter.php?i=3075755&amp;c=9227578" alt="track web hits"/></a><br/><a href="http://www.edatingcentral.com">Meet Men or Women</a></p>

วันอังคารที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

นับถอยหลังวันสิ้นโลก


<iframe src="http://free.timeanddate.com/countdown/i33m0zx9/n28/cf12/cm0/cu4/ct0/cs0/ca0/cr0/ss0/cac000/cpc000/pcfff/tcfff/fs100/szw320/szh135/tatTime%20left%20to%20Event%20in/tac000/tptTime%20since%20Event%20started%20in/tpc000/mac000/mpc000/iso2012-12-21T00:00:00" frameborder="0" width="175" height="66"></iframe>

วันอังคารที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

<marquee direction=left>นักเรียนโรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัย  มุกดาหาร  รุ่นที่ 15</marquee>

วันแรงงานแห่งชาติ





           ผู้ใช้แรงงานถือเป็นฝ่ายผลิตที่สำคัญในการผลักดัน ช่วยส่งเสริมพัฒนาระบบเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งในต่างประเทศนั้นมีวันแรงงานมานานแล้ว โดยเรียกว่าวันเมย์เดย์ (May Day) ขณะที่ประเทศไทยนั้น ทราบกันดีว่าวันแรงงาน ตรงกับวันที่ 1 พฤษภาคมของทุกปี ว่าแล้ว วันนี้กระปุกมีความเป็นมาของวันสำคัญวันนี้มาฝากกันค่ะ

           ในสมัยก่อนประเทศในแถบยุโรปจะถือเอาวันเมย์เดย์ว่าเป็นวันเริ่มต้นฤดูใหม่ทางเกษตรกรรม จึงมีพิธีเฉลิมฉลองและทำการบวงสรวงขอให้ปลูกพืชได้ผลดีรวมถึงขอให้ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุข อีกทั้งทางภาคเหนือของยุโรปก็จะมีการจัดงานรอบกองไฟในวันนี้ด้วย ซึ่งประเพณีนี้ในประเทศอังกฤษก็ยังมีสืบทอดกันมาจนถึงปัจจุบันนี้

           จากตอนแรกที่เป็นเพียงวันหยุดพักผ่อนประจำปี ต่อมาประเทศอุตสาหกรรมหลายประเทศจึงถือเป็นวันหยุดตามประเพณีทั่วไป โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเตือนใจให้ประชาชนตระหนักถึงผู้ใช้แรงงานที่ได้ทำประโยชน์แก่เศรษฐกิจของประเทศ ความหมายของวันเมย์เดย์จึงเปลี่ยนไปจากเดิม จนเมื่อปี พ.ศ. 2433 ได้มีการเรียกร้องในหลายประเทศทางตะวันตกให้ถือเอาวันที่ 1 พฤษภาคม เป็นวันแรงงงานสากล ทำให้หลายประเทศได้เริ่มฉลองวันแรงงานเป็นครั้งแรกในวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2433 และได้สืบทอดมาจนถึงในปัจจุบัน

            ส่วนในประเทศไทยเมื่ออุตสาหกรรมได้ขยายตัวขึ้น ผู้ใช้แรงงานก็มีปัญหามากขึ้น รวมทั้งปัญหาแรงงานก็มีความสลับซับซ้อนยิ่งขึ้น จนทำให้ในปี พ.ศ. 2475 ประเทศไทยก็ได้เริ่มมีการจัดการบริหารแรงงานซึ่งเป็นการจัดสรรและพัฒนาแรงงานรวมถึงคุ้มครองดูแลสภาพการทำงาน เพื่อสร้างรากฐานและส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง

             โดยในวันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2499 คณะกรรมการการจัดงานที่ระลึกแรงงาน ได้มีการจัดประชุมขึ้นพร้อมทั้งมีความเห็นตรงกันว่าควรกำหนดให้วันที่ 1 พฤษภาคม เป็นวันระลึกถึงแรงงานไทย จึงได้มีหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีของให้รับรองวันที่ 1 พฤษภาคม จนเป็นที่มาของวันกรรมกรแห่งชาติ และต่อมาก็ได้เปลี่ยนเป็นวันแรงงานแห่งชาติ และในปี พ.ศ. 2500 ก็ได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติกำหนดวิธีระงับข้อพิพาทแรงงาน ซึ่งได้กำหนดให้ลูกจ้างมีสิทธิหยุดงานในวันแรงงานแห่งชาติด้วย

             แต่พระราชบัญญัติฉบับดังกล่าวก็มีอายุเพีงแค่ 18 เดือน ก็ถูกยกเลิกไป โดยมีประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 19 มาแทนที่ และมีการให้อำนาจกระทรวงมหาดไทยออกประกาศกำหนดเรื่องการคุ้มครองแรงงาน และกำหนดวันกรรมกรให้เป็นวันหยุดตามประเพณี แต่เนื่องด้วยสถานการณ์ในขณะนั้นมีการผันแปรจึงมีคำชี้แจงออกมาในแต่ละปีเพื่อเตือนนายจ้างให้ลูกจ้างหยุดงานในวันที่ 1 พฤษภาคม แต่ก็มีการขอร้องไม่ให้มีการเฉลิมฉลองเพื่อความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง

               จนกระทั่งปี พ.ศ. 2517 ได้เปิดให้มีการฉลองตามสมควร จึงมอบให้กรมแรงงานที่ขณะนั้นสังกัดกระทรวงมหาดไทยจัดงานฉลองวันแรงงานแห่งชาติขึ้นที่สวนลุมพินี ที่มีการทำบุญตักบาตร มีนิทรรศการแสดงความรู้ และกิจกรรมอื่นๆ อีกมากมาย

               โดยแต่เดิมนั้นการบริหารแรงงานอยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงมหาดไทย แต่รัฐบาลได้เล็งเห็นว่าควรจะมีการยกระดับหน่วยงานเพื่อให้มีงบประมาณและเจ้าหน้าที่สำหรับการดูแลผู้ใช้แรงงานอย่างพอเพียง ในวันที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2536 จึงได้มีการประกาศในพระราชกิจจานุเบกษา ให้จัดตั้งกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมขึ้นเพื่อให้การบริหารงานมีความก้าวหน้าทัดเทียมนานาประเทศ และมีหน้าที่ดังต่อไปนี้

1. การจัดหางาน ด้วยการช่วยเหลือคนว่างงานให้มีงานทำ ช่วยเหลือนายจ้างให้ได้คนมีคุณภาพดีไปทำงาน รวบรวมเผยแพร่ข่าวสารเกี่ยวกับการทำงาน แหล่งงาน ภาวะตลาดแรงงาน

2. งานแนะแนวอาชีพ ให้คำปรึกษาแก่เยาวชนและผู้ประสงค์จะทำงาน เพื่อให้สามารถเลือกแนวทางประกอบอาชีพที่เหมาะสมตามความถนัด ความสามารถทางร่างกาย คุณสมบัติ บุคลิกภาพ และความเหมาะสมแก่ความต้องการทางเศรษฐกิจ

3. การพัฒนาแรงงาน ส่งเสริมพัฒนาฝีมือแก่คนงานและเยาวชนที่ไม่มีโอกาสศึกษาต่อโดยการฝึกแบบเร่งรัด

4. งานคุ้มครองแรงงาน วางหลักการและวิธีการเกี่ยวกับชั่วโมงทำงาน วันหยุดงาน ตลอดจนการจัดให้มีสวัสดิการต่างๆ

5. งานแรงงานสัมพันธ์ ทำการส่งเสริมและสร้างสัมพันธ์อันดีระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างให้ทั้งสองฝ่ายเข้าใจถึงลักษณะและสภาพของปัญหา ตลอดจนวิธีการที่เหมาะสมที่จะช่วยขจัดความเข้าใจผิดและข้อขัดแย้งอื่นๆ

ส่วนด้านที่เกี่ยวกับกรรมกรก็ได้มีการจัดตั้งกลุ่มสหภาพแรงงานขึ้นหลายร้อยกลุ่ม และยังได้รวมตัวกันจัดตั้งสภาองค์การลูกจ้างขึ้น เพื่อทำหน้าที่พิทักษ์สิทธิให้กับผู้ใช้แรงงาน มี 3 สภา ได้แก่

สภาองค์การลูกจ้างแรงงานแห่งประเทศไทย
สภาองค์การลูกจ้างแห่งประเทศไทย
สภาองค์การแรงงานแห่งประเทศไทย

และนี่ก็คือความเป็นมาของวันแรงงาน ที่เป็นหลักสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้เดินหน้าไป

วันจันทร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2555

เชิญฟังการบรรยาย รอถึง ม.ปลาย ก็สายเกินไป โดย อ.วิริยะ ฤาชัยพาณิชย์


" คนเราทุกคนมีศักยภาพ   มีพรสวรรค์อยู่ในตัวเอง   บางคนรู้ว่าตนเองมีศักยภาพในด้านใด และดึงออกมาใช้ได้อย่างน่าอัศจรรย์    แต่หลายต่อหลายคนไม่เคยค้นพบว่าตนเองมีความสามารถ มีศักยภาพ หรือมีพรสรรค์อย่างไร    ก็คงได้แต่ตั้งคำถามอยู่เสมอว่าตนเอง เหมาะที่จะเรียนอะไร ตนเองถนัดอะไร และตนเองจะทำอะไรต่อในอนาคต
     บทบาทผู้ปกครองวันนี้ เกรดเฉลี่ยคิดกันไม่ได้ “เลิกคิด” ไม่ต้องไปดูว่าเกรดลูกได้เท่าไหร่ เอาศักยภาพลูกดูว่าลูกเรามีดีอะไร เขาเก่งอะไร  ส่งเสริมตรงนั้น  วิชาอ่อนไม่ต้องติวครับ  วิชาอ่อนทิ้งมันไปเลย ประเดี๋ยวเกรดต่ำ   เกรดต่ำแล้วมันทำให้จิตใจต่ำลงไหมครับ  อยากให้เขามีความสุข   อยากให้เขาประสบความสำเร็จ   ฝึกให้เขามีจิตใจเข้มแข็งให้เขายอมรับกับความสามารถของตัวเองและดึงศักยภาพ ที่แท้จริงของเขาออกมาให้ได้ เด็กทุกคนมีดี "
 
                        บทบาทของผู้ปกครองในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากมายเพียงแค่ส่งเสริมด้าน วิชาการเพียงอย่างเดียวอาจจะไม่เพียงพอ

                                   ชมแบบเต็มๆ อย่างจุใจกับการสัมมนาออนไลน์ รอถึง ม .ปลายก็สายไปคลิกที่นี่

ทึ่ง!ด.ญ.อังกฤษไอคิว159 เฉียด"ไอน์สไตน์-ฮอว์คกิ้ง"คะแนนเดียว

เด็กหญิงวัย 4 ขวบชาวอังกฤษ ได้รับเชิญให้เข้าร่วมสมาคม "เมนซา" เป็นคนล่าสุด หลังทำแบบทดสอบไอคิวได้สูงถึง 159 คะแนน หรือต่ำกว่า"อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์" และ "สตีเฟน ฮอว์คกิ้ง" เพียงคะแนนเดียว
UploadImage
"เมนซา" ซึ่งเป็นสมาคมสำหรับผู้ที่มีไอคิวสูง ที่ตั้งขึ้นเพื่อค้นหาและส่งเสริมอัจฉริยะในมนุษย์  เพื่อประโยชน์ของมวลมนุษยชาติ อีกทั้งยังมีการวิจัยธรรมชาติ ลักษณะนิสัย และการใช้ความอัจฉริยะ ให้เกิดประโยชน์สูงสุด  กล่าวว่า ด.ญ.ไฮดี้ แฮนกินส์ จากเมืองวินเชสเตอร์ แคว้นแฮมพ์เชียร์ สามารถนับตัวเลขได้ถึง 40 วาดภาพคน ท่องบทกวี และอ่านหนังสือสำหรับเด็ก 7 ขวบด้วยตัวเอง ขณะที่เธอมีอายุเพียง 2 ขวบ

โดยบิดาของเธอ แมทธิว วัย 47 ปี อาจารย์จากมหาวิทยาลัยเซาธ์แธมป์ตัน และมารดา โซฟี วัย 43 ปี ซึ่งเป็นศิลปิน เผยว่า ลูกสาวของตนจะสามารถเข้าเรียนข้ามชั้นได้ ในการเปิดภาคเรียนใหม่เดือนกันยายนนี้ โดยการทดสอบได้ใช้คำถามที่วัดศักยภาพด้านเชาว์ปัญญาของเด็กที่เรียกว่า "Wechsler IQ test"

พ่อของเธอเผยว่า เมื่อตอนที่เธออายุ 2 ขวบ เขาได้ลองให้เธออ่านหนังสือชุดสำหรับเด็กที่ชื่อ Oxford Reading Tree ซึ่งเธอสามารถอ่านได้จบทั้งหมด 30 เล่ม ได้ภายในชั่วโมงเดียว และเมื่อตอนที่เธอยังเป็นทารก เธอพยายามส่งเสียงและพูดเป็นคำๆ และดีขึ้นเมื่อตอนอายุ 1 ขวบ โดยสามารถพูดได้เป็นประโยคสมบูรณ์

นอกจากนั้น เธอยังสามารถวาดภาพเจ้าหญิง และสัตว์ได้ เมื่อตอนอายุ 14 เดือน และ เมื่ออายุ 18 เดือน ครอบครัวพบว่าเธอใช้คอมพิวเตอร์เพื่อเรียนรู้การอ่านด้วยตนเอง  ทั้งนี้ นายแอนกินส์เผยว่า ทั้งหมดนี้ ไม่มีใครบังคับหรือผลักดันให้เธอทำ แต่เกิดจากการเรียนรู้และกระทำด้วยตนเองทั้งสิ้น  และยืนยันว่า บุตรสาวไม่ได้เป็นเด็กที่มีความสามารถมากกว่าเด็กในวัยเดียวกันแต่อย่างใด

นายจอห์น สตีเวเนจ ผู้อำนวยการสถาบันเมนซา ไอคิวเฉลี่ยของคนทั่วไปอยู่ที่ระดับ 100 ขณะที่บุคคลอัจฉริยะอยู่ที่ราว 130

โดยเมื่อปี 2009 หนูน้อยออสการ์ ริกลีย์ วัย 2 ขวบครึ่งในขณะนั้น จากเมืองเรดดิ้ง แคว้นเบิร์กเชียร์ สร้างความตื่นเต้นให้แก่ผู้เชี่ยวชาญ เนื่องจากกลายเป็นบุคคลที่มีอายุน้อยที่สุดที่เข้าร่วมเมนซา โดยมีระดับไอคิวที่ 160
ข้อมูลมติชนออนไลน์
<marquee direction=left>นักเรียนโรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัย  มุกดาหาร  รุ่นที่ 15</marquee>

ประกาศรายชื่อนักเรียนตัวสำรอง ห้องเรียนวิทยาศาสตร์ภูมิภาค ม.1 และ ม.4


โรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัย มุกดาหาร
โดยให้นักเรียนที่มีรายชื่อตามเอกสารที่แนบมา ให้เข้ารายงานตัวในวันที่ 17 เมษายน 2555
ตั้งแต่เวลา 09.00-16.30 น. ณ อาคารอำนวยการ โรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัย มุกดาหาร

http://203.172.174.206/08042012.pdf

วันพุธที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2555

เพลงสบายๆ

<object height="136" width="292"><param name="movie" value="http://www.fwdder.com/player/audio/232879"><embed src="http://www.fwdder.com/player/audio/232879" type="application/x-shockwave-flash" width="500" height="300"></embed></object>

วันอาทิตย์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2555

สงกรานต์



              สงกรานต์ เป็นประเพณีเดือน 5 ของประเทศไทย ลาว กัมพูชา พม่า ชนกลุ่มน้อยชาวไตแถบเวียดนามและมณฑลยูนนานของจีน ศรีลังกาและทางตะวันออกของประเทศอินเดีย สงกรานต์เป็นคำสันสกฤต หมายถึงการเคลื่อนย้าย ซึ่งเป็นการอุปมาถึงการเคลื่อนย้ายของการประทับในจักรราศี หรือคือการเคลื่อนขึ้นปีใหม่ในความเชื่อของไทยและบางประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

สงกรานต์ เป็นประเพณีเก่าแก่ของไทยซึ่งสืบทอดมาแต่โบราณคู่มากับประเพณีตรุษ จึงมีการเรียกรวมกันว่า ประเพณีตรุษสงกรานต์ หมายถึงประเพณีส่งท้ายปีเก่า และต้อนรับปีใหม่ คำว่าตรุษเป็นภาษาทมิฬ แปลว่าการสิ้นปี แต่ในปัจจุบัการเฉลิมฉลองในประเพณีสงกรานต์นั้นได้ละทิ้งความงดงามขอประเพณีในสมัยโบราณไปเกือบหมดสิ้น คงไว้เพียงแต่ภาพลักษณ์แห่งความสนุกสนาน ยิ่งไปกว่านั้นยังในการเล่นน้ำบางสถานที่ยังมุ่งเน้นในเรื่องเพศ ทำให้ความงดงามของประเพณีนี้สูญหายไปตามกาลเวลา

พิธีสงกรานต์ เป็นพิธีกรรมที่เกิดขึ้นในสมาชิกในครอบครัว หรือชุมชนบ้านใกล้เรือนเคียง แต่ปัจจุบันได้เปลี่ยนไปสู่สังคมในวงกว้าง และมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนทัศนคติ และความเชื่อไป ในความเชื่อดั้งเดิมใช้สัญลักษณ์เป็นองค์ประกอบหลักในพิธี ได้แก่ การใช้น้ำเป็นตัวแทน แก้กันกับความหมายของฤดูร้อน ช่วงเวลาที่พระอาทิตย์เคลื่อนเข้าสู่ราศีเมษ ใช้น้ำรดให้แก่กันเพื่อความชุ่มชื่น มีการขอพรจากผู้ใหญ่ การรำลึกและกตัญญูต่อบรรพบุรุษที่ล่วงลับ ในชีวิตสมัยใหม่ของสังคมไทยเกิดประเพณีกลับบ้านในเทศกาลสงกรานต์ นับวันสงกรานต์เป็นวันครอบครัว ในพิธีเดิมมีการสรงน้ำพระที่นำสิริมงคล เพื่อให้เป็นการเริ่มต้นปีใหม่ที่มีความสุข ปัจจุบันมีพัฒนาการและมีแนวโน้มว่าได้มีการเสริมจนคลาดเคลื่อนบิดเบือนไป เกิดการประชาสัมพันธ์ในเชิงการท่องเที่ยวว่าเป็น Water Festival หรือ สงครามน้ำ เป็นภาพของการใช้น้ำเพื่อแสดงความหมายเพียงประเพณีการเล่นน้ำ

การที่สังคมเปลี่ยนไป มีการเคลื่อนย้ายที่อยู่เข้าสู่เมืองใหญ่ และถือวันสงกรานต์เป็นวัน "กลับบ้าน" ทำให้การจราจรคับคั่งในช่วงวันก่อนสงกรานต์ วันแรกของเทศกาล และวันสุดท้ายของเทศกาล เกิดอุบัติเหตุทางถนนสูง นับเป็นปรากฏการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้นตามการเปลี่ยนแปลงหลายด้านของสังคม นอกจากนี้ เทศกาลสงกรานต์ยังถูกใช้ในการส่งเสริมการท่องเที่ยว ทั้งต่อคนไทย และต่อนักท่องเที่ยวต่างประเทศ

วันเสาร์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2555

นิยามของความรู้

นิยามของความรู้
 
คำว่าความรู้นั้น ในทัศนะของฮอสเปอร์ (อ้างถึงในมาโนช เวชพันธ์ 2532, 15-16) นับเป็นขั้นแรกของพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับความสามารถในการจดจำ ซึ่งอาจจะโดยการนึกได้ มองเห็น ได้ยิน หรือ ได้ฟัง ความรู้นี้ เป็นหนึ่งในขั้นตอนของการเรียนรู้ โดยประกอบไปด้วยคำจำกัดความหรือความหมาย ข้อเท็จจริง ทฤษฎี กฎ โครงสร้าง วิธีการแก้ไขปัญหา และมาตรฐานเป็นต้น ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า ความรู้เป็นเรื่องของการจำอะไรได้ ระลึกได้ โดยไม่จำเป็นต้องใช้ความคิดที่ซับซ้อนหรือใช้ความสามารถของสมองมากนัก ด้วยเหตุนี้ การจำได้จึงถือว่าเป็น กระบวนการที่สำคัญในทางจิตวิทยา และเป็นขั้นตอนที่นำไปสู่พฤติกรรมที่ก่อให้เกิดความเข้าใจ การนำความรู้ไปใช้ในการวิเคราะห์ การสังเคราะห์ การประเมินผล ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ได้ใช้ความคิดและความสามารถทางสมองมากขึ้นเป็นลำดับ ส่วนความเข้าใจ (Comprehension) นั้น ฮอสเปอร์ ชี้ให้เห็นว่า เป็นขั้นตอนต่อมาจากความรู้ โดยเป็นขั้นตอนที่จะต้องใช้ความสามารถของสมองและทักษะในชั้นที่สูงขึ้น จนถึงระดับของการสื่อความหมาย ซึ่งอาจเป็นไปได้โดยการใช้ปากเปล่า ข้อเขียน ภาษา หรือการใช้สัญลักษณ์ โดยมักเกิดขึ้นหลังจากที่บุคคลได้รับข่าวสารต่าง ๆ แล้ว อาจจะโดยการฟัง การเห็น การได้ยิน หรือเขียน แล้วแสดงออกมาในรูปของการใช้ทักษะหรือการแปลความหมายต่าง ๆ เช่น การบรรยายข่าวสารที่ได้ยินมาโดยคำพูดของตนเอง หรือการแปลความหมายจากภาษาหนึ่งไปเป็นอีกภาษาหนึ่ง โดยคงความหมายเดิมเอาไว้ หรืออาจเป็นการแสดงความคิดเห็นหรือให้ข้อสรุปหรือการคาดคะเนก็ได้
ประภาเพ็ญ สุวรรณ (อ้างถึงในอักษร สวัสดี 2542, 26) ได้ให้คำอธิบายว่า ความรู้ เป็นพฤติกรรมขั้นต้นที่ผู้เรียนรู้เพียงแต่เกิดความจำได้ โดยอาจจะเป็นการนึกได้หรือโดยการมองเห็น ได้ยิน จำได้ ความรู้ในชั้นนี้ได้แก่ ความรู้เกี่ยวกับคำจำกัดความ ความหมาย ข้อเท็จจริง กฎเกณฑ์ โครงสร้างและวิธีแก้ไขปัญหา ส่วนความเข้าใจอาจแสดงออกมาในรูปของทักษะด้าน “การแปล” ซึ่งหมายถึง ความสามารถในการเขียนบรรยายเกี่ยวกับข่าวสารนั้น ๆ โดยใช้คำพูดของตนเอง และ “การให้ความหมาย” ที่แสดงออกมาในรูปของความคิดเห็นและข้อสรุป รวมถึงความสามารถในการ “คาดคะเน” หรือการคาดหมายว่าจะเกิดอะไรขึ้น
เบนจามิน บลูม (Benjamin S. Bloom อ้างถึงในอักษร สวัสดี 2542, 26-28) ได้ให้ความหมายของ ความรู้ ว่าหมายถึง เรื่องที่เกี่ยวกับการระลึกถึงสิ่งเฉพาะ วิธีการและกระบวนการต่าง ๆ รวมถึงแบบกระสวนของโครงการวัตถุประสงค์ในด้านความรู้ โดยเน้นในเรื่องของกระบวนการทางจิตวิทยาของความจำ อันเป็นกระบวนการที่เชื่อมโยงเกี่ยวกับการจัดระเบียบ โดยก่อนหน้านั้นในปี ค.ศ. 1965 บลูมและคณะ ได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับการรับรู้หรือพุทธิพิสัย (cognitive domain) ของคน ว่าประกอบด้วยความรู้ตามระดับต่าง ๆ รวม 6 ระดับ ซึ่งอาจพิจารณาจากระดับความรู้ในขั้นต่ำไปสู่ระดับของความรู้ในระดับที่สูงขึ้นไป โดยบลูมและคณะ ได้แจกแจงรายละเอียดของแต่ละระดับไว้ดังนี้
  1. ความรู้ หมายถึง การเรียนรู้ที่เน้นถึงการจำและการระลึกได้ถึงความคิด วัตถุ และปรากฏการณ์ต่าง ๆ ซึ่งเป็นความจำที่เริ่มจากสิ่งง่าย ๆ ที่เป็นอิสระแก่กัน ไปจนถึงความจำในสิ่งที่ยุ่งยากซับซ้อนและมีความสัมพันธ์ระหว่างกัน
  2. ความเข้าใจหรือความคิดรวบยอด (Comprehension) เป็นความสามารถทางสติปัญญาในการขยายความรู้ ความจำ ให้กว้างออกไปจากเดิมอย่างสมเหตุสมผล การแสดงพฤติกรรมเมื่อเผชิญกับสื่อความหมาย และความสามารถในการแปลความหมาย การสรุปหรือการขยายความสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
  3. การนำไปปรับใช้ (Application) เป็นความสามารถในการนำความรู้ (knowledge) ความเข้าใจหรือความคิดรวบยอด (comprehension) ในเรื่องใด ๆ ที่มีอยู่เดิม ไปแก้ไขปัญหาที่แปลกใหม่ของเรื่องนั้น โดยการใช้ความรู้ต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิธีการกับความคิดรวบยอดมาผสมผสานกับความสามารถในการแปลความหมาย การสรุปหรือการขยายความสิ่งนั้น
  4. การวิเคราะห์ (Analysis) เป็นความสามารถและทักษะที่สูงกว่าความเข้าใจ และการนำไปปรับใช้ โดยมีลักษณะเป็นการแยกแยะสิ่งที่จะพิจารณาออกเป็นส่วนย่อย ที่มีความสัมพันธ์กัน รวมทั้งการสืบค้นความสัมพันธ์ของส่วนต่าง ๆ เพื่อดูว่าส่วนประกอบปลีกย่อยนั้นสามารถเข้ากันได้หรือไม่ อันจะช่วยให้เกิดความเข้าใจต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใดอย่างแท้จริง
  5. การสังเคราะห์ (Synthesis) เป็นความสามารถในการรวบรวมส่วนประกอบย่อย ๆ หรือส่วนใหญ่ ๆ เข้าด้วยกันเพื่อให้เป็นเรื่องราวอันหนึ่งอันเดียวกัน การสังเคราะห์จะมีลักษณะของการเป็นกระบวนการรวบรวมเนื้อหาสาระของเรื่องต่าง ๆ เข้าไว้ด้วยกัน เพื่อสร้างรูปแบบหรือโครงสร้างที่ยังไม่ชัดเจนขึ้นมาก่อน อันเป็นกระบวนการที่ต้องอาศัยความคิดสร้างสรรค์ภายในขอบเขตของสิ่งที่กำหนดให้
  6. การประเมินผล (Evaluation) เป็นความสามารถในการตัดสินเกี่ยวกับความคิด ค่านิยม ผลงาน คำตอบ วิธีการและเนื้อหาสาระเพื่อวัตถุประสงค์บางอย่าง โดยมีการกำหนดเกณฑ์ (criteria) เป็นฐานในการพิจารณาตัดสิน การประเมินผล จัดได้ว่าเป็นขั้นตอนที่สูงสุดของพุทธิลักษณะ (characteristics of cognitive domain) ที่ต้องใช้ความรู้ความเข้าใจ การนำไปปรับใช้ การวิเคราะห์และการสังเคราะห์เข้ามาพิจารณาประกอบกันเพื่อทำการประเมินผลสิ่งหนึ่งสิ่งใด
ความรู้คือ สิ่งที่มนุษย์สร้าง ผลิต ความคิด ความเชื่อ ความจริง ความหมาย โดยใช้ ข้อเท็จจริง ข้อคิดเห็น ตรรกะ แสดงผ่านภาษา เครื่องหมาย และสื่อต่าง ๆ โดยมีเป้าหมายและวัตถุประสงค์เป็นไปตามผู้สร้าง ผู้ผลิตจะให้ความหมาย

เพื่อนกันตลอดไป




















วันศุกร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2555

แคแสดเปลี่ยนกระถางไม่จางสี จุฬาภรณ์เปลี่ยนที่ไม่เปลี่ยนแปลง

ภาพเก่าๆ  เก็บไว้ในความทรงจำ
http://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=Hme88zvge2s

ยังจำได้ไหม หวังว่าเราทุกคนคงจะไม่ลืมกัน


คิดถึงโรงเรียน


ควรใช้ Google Chrome ในการดูเพื่อความสมบูรณ์ของหน้าเว็บ

เทคนิคการเรียนให้เก่ง


พูดถึงเรื่องเรียน ใครๆ ก็อยากเก่งกันทุกคน แต่คงมีหลายคน ที่อาจจะท้อแท้กับการเรียน นักวิชาการและนักวิจัยต่างๆ ได้ทำการสำรวจและวิจัย พบว่าเทคนิคการเรียนต่างๆ จากหลายๆคนแตกต่างกันไป ก็เลยนำมาเสนอให้เพื่อนๆ ที่สนใจได้อ่านด้วย เราไปดูกันดีกว่าว่า การเรียน เก่ง เขามีเทคนิคอะไร ยังไง

จากการวิจัยและวิเคราะห์ของนักแนะแนวการศึกษาและนักจิตวิทยาหลายคนพบว่า ผู้ที่เรียนไม่ค่อยประสบความสำเร็จหรือเรียนแบบไม่ค่อยมีประสิทธิภาพ ได้แก่ผู้ที่มีลักษณะดังนี้ 


  1. เป็นคนที่มักละทิ้งงานไว้ก่อนจึงค่อยทำ เมื่อถึงนาทีสุดท้าย
  2. เสียสมาธิ หันเห ความสนใจไปจากการเรียนได้โดยง่าย
  3. เมื่อทำงานที่ยากๆ จะสูญเสียความสนใจ หรือขาดความมานะ พยายามนั่นเอง
  4. มักใช้เรื่องของการสอบ เป็นเครื่องกระตุ้นการเรียน
  5. ส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีตารางการทำงานอย่าวงสม่ำเสมอ

  • ควรมีตารางเรียนและทำงานตรงตามเวลาที่กำหนดอย่างสม่ำเสมอ
  • ทำงานในระยะเวลาที่ไม่นานนักและควรมีการหยุดพักผ่อน
  • ไม่ปล่อยงานค้างไว้จนวินาทีสุดท้าย
  • ควรตั้งสมาธิให้แน่วแน่ ไม่เสียสมาธิง่าย
  • อย่าใช้การสอบเป็นแรงจูงใจในการอ่านหนังสือ
  • ควรอ่านหนังสือก่อนเข้าห้องเรียนตามสมควร
  • เข้าฟังการบรรยาย สัมมนาแล้วควรกลับไปอ่านทบทวน
  • พยายามอย่าละเลยวิชาที่ยากกว่าวิชาอื่นๆ
  • ควรมีความรู้ในการใช้บริการห้องสมุดด้วยเป็นดี
  • ปรับปรุงคำบรรยาย ที่จดจากห้องเรียนให้กระชับ กะทัดรัดและเข้าใจง่าย
  • พยายามทำให้การเรียนเป็นเรื่องที่น่าสนใจ และสนุกสนานกับมัน
  • ควรมีแรงกระตุ้นกับมันและไม่ควรทำงานหนักเกินไปในวันหยุด
  • เมื่อพยายามปฏิบัติทุกข้ออย่างสม่ำเสมอก็จะทำให้เรียนได้ดี

  • อ่านหนังสือเที่ยวนึงก่อน แล้วกลับมาอ่านซ้ำอีกที
  • ขีดเส้นใต้ใจความหลักและรายละเอียดที่สำคัญในตำรา
  • อ่านอย่างตั้งใจแล้วทำบันทึกเค้าโครงสั้นๆไว้ เพื่อประหยัดเวลาในการอ่านทบทวน
ซึ่งนักวิเคราะห์สรุปว่า วิธีที่3ค่อนข้างจะดีกว่าข้ออื่นๆแต่การทำพร้อมๆกันทั้ง 3 วิธี เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการอ่านหนังสือเลยทีเดียว

Thorndike กล่าวว่า ประสบการณ์ก่อให้เกิดความชำนาญ เขาได้ตั้งกฎแห่งการเรียนไว้ 3 อย่างซึ่งพูดถึงการตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้น การตอบรับ การฝึกหัดเพื่อก่อให้ เกิดประสบการณ์ และการเตรียมความพร้อมในด้านการเรียน และเขายังมี ข้อแนะนำที่จะช่วยให้การเรียนได้ผลดีและรวดเร็ว คือ
  1. พยายามสร้างความอยากที่จะเรียน (motivation)
  2. พยายามตอบสนองต่อการเรียน (reaction) อย่างต่อเนื่อง
  3. ควรมีความแน่วแน่กับการเรียน (concentrate)
  4. จัดลำดับเรื่องที่จะเรียน (organization) ให้เป็นหมวดหมู่ก่อนหลัง ไม่ปะปนกัน
  5. ควรมีความเข้าใจ (comprehension) ในจุดมุ่งหมายในเนื้อหาที่เรียน
  6. มีการทบทวน (repettition) เพื่อเป็นการไม่ให้ลืม

  1. สำรวจเนื้อหาและส่วนประกอบต่างๆ ในเล่มทั้งหมด
  2. อ่านเนื้อหาทั้งหมด แล้วอ่านซ้ำเพื่อจับ
  3. ควรมีการตั้งคำถามกับตัวเองขณะอ่าน ว่าใคร ทำอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไร
  4. ขีดเส้นใต้ข้อความสำคัญจากนั้นบันทึกเป็นคำพูดที่เข้าใจง่าย
  5. พยายามจับประเด็นจากคำบรรยายและจากตำราให้เข้ากัน
  6. ต้องมีการทบทวนอย่างสม่ำเสมอ

S :
servey
คือ การสำรวจตำราเรียนอย่างคร่าวๆ
Q :
question
คือ การตั้งคำถามทั่วๆไปเพื่อที่จะเข้าสู่เนื้อหา
R :
read
แล้วก็ต้องอ่านเพื่อจับประเด็นความคิดออกมา
R :
recall
แล้วต้องพยายามที่จะจดจำในเนื้อหาที่สำคัญๆไว้ด้วย และ R สุดท้าย
R :
review
หมั่นทบทวนอยู่เสมอเพื่อตรวจสอบความถูกต้องและการนำไปใช้


นอกจากนี้ อ.ธีรพร ชัยวัชราภรณ์ ยังให้เทคนิคการจำที่น่าสนใจ ให้นำไปใช้อีกด้วย
  • อย่าจดจำในสิ่งที่ตัวเองยังไม่เข้าใจ
  • ทบทวนบันทึกหลังการเรียนมาภายใน 12 ชม.
  • ต้องทำความเข้าใจในเนื้อหาทุกๆ ตอนก่อนที่จะผ่านไปและต้องทบทวนอย่างสม่ำเสมอ
  • พยายามเรียนให้มากๆ และอย่าเพิ่งหยุดในขณะที่เพิ่งเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ
  • เลือกจำเฉพาะจุดที่สำคัญและรวบรวมเนื้อหาเหล่านั้นเข้าด้วยกันและมีระบบขั้นตอน
  • ทำการซ้ำหลายๆ หน เช่นท่องปากเปล่าหรือเขียนเพื่อที่จะช่วยให้จดจำได้มากขึ้น และการท่องเป็นจังหวะจะช่วยให้ท่องจำได้ง่ายขึ้น

  • ฝึกสังเกต สังเกตในสิ่งที่เราเห็น หรือสิ่งแวดล้อม เช่น ไปดูนก ดูผีเสื้อ หรือในการทำงาน การฝึกสังเกตจะทำให้เกิดปัญญามาก โลกทรรศน์ และวิธีคิด สติ - สมาธิ จะเข้าไปมีผลต่อการสังเกต และสิ่งที่สังเกต
  • ฝึกบันทึก เมื่อสังเกตอะไรแล้วควรฝึกบันทึก โดยจะวาดรูปหรือ บันทึกข้อความ ถ่ายภาพ ถ่ายวีดิโอ ละเอียดมากน้อยตามวัยและ ตามสถานการณ์การบันทึกเป็นการพัฒนาปัญญา
  • ฝึกการนำเสนอต่อที่ประชุม กลุ่ม เมื่อ มีการทำงานกลุ่ม เรา ไปเรียนรู้อะไรมาบันทึกอะไรมา จะนำเสนอให้เพื่อนหรือครูรู้เรื่อง ได้อย่างไร ก็ต้องฝึกการนำเสนอการนำเสนอได้ดีจึงเป็นการพัฒนา ปัญญาทั้งของผู้นำเสนอและของกลุ่ม
  • ฝึกการฟัง ถ้ารู้จักฟังคนอื่นก็จะทำให้ฉลาดขึ้น โบราณเรียกว่า เป็นพหูสูตบางคนไม่ได้ยินคนอื่นพูด เพราะหมกมุ่นอยู่ในความคิด ของตัวเองหรือมีความฝังใจในเรื่องใดเรื่องหนึ่งจนเรื่องอื่นเข้าไม่ได้ ฉันทะ สติ สมาธิ จะช่วยให้ฟังได้ดีขึ้น
  • ฝึกปุจฉา - วิสัชนา เมื่อมีการนำเสนอและการฟังแล้ว ฝึกปุจฉา - วิสัชนา หรือถาม - ตอบ ซึ่งเป็นการฝึกใช้เหตุผล วิเคราะห์ สังเคราะห์ ทำ ให้เกิดความแจ่มแจ้งในเรื่องนั้นๆ ถ้าเราฟังครูโดยไม่ถาม - ตอบ ก็ จะไม่แจ่มแจ้ง
  • ฝึกตั้งสมมติฐานและตั้งคำถาม เวลาเรียนรู้อะไรไปแล้ว เรา ต้องสามารถตั้งคำถามได้ว่า สิ่งนี้คืออะไร สิ่งนั้นเกิดจากอะไร อะไรมีประโยชน์ ทำอย่างไรจะสำเร็จประโยชน์อันนั้น และมีการ ฝึกการตั้งคำถาม ถ้ากลุ่มช่วยกันคิดคำถามที่มีคุณค่าและมีความ สำคัญ ก็จะอยากได้คำตอบ
  • ฝึกการค้นหาคำตอบ เมื่อมีคำถามแล้วก็ควรไปค้นหาคำตอบ จากหนังสือ จากตำรา จากอินเตอร์เน็ต หรือไปคุยกับคนเฒ่าคน แก่ แล้วแต่ธรรมชาติของคำถาม การค้นหาคำตอบต่อคำถามที่ สำคัญจะสนุกและทำ

ที่มาข้อมูล : www.theyoung.net
ที่มาเว็บ : myfirstbrain

สายสัมพันธ์

มีจากกัน มีอำลา มี..มา มีจากไป
มีอำลา มีอาลัย แต่หัวใจ บ่ จากกัน
ยิ้มก่อนจาก ฝากอาลัย แทนน้ำใจ เคยผูกพัน
ยิ้มเพื่อสู้ อยู่เพื่อฝัน สายสัมพันธ์ ยังผูกใจ
มีคำไหน ที่เคยได้ล่วงเกิน โดยบังเอิญหรือว่าที่ได้ตั้งใจ
ขอโทษที ขอโทษที ที่เป็นไป ขออภัยไว้ทุกสิ่ง
โดยแท้จริง ไม่ได้เจตนา ภาพความหลัง ยังฝังตรึงอุรา
คำสัญญา ยังจดจำ
ยิ้มก่อนจาก ฝากอำลา...

เพลงมาร์ชจุฬาภรณราชวิทยาลัย

เพลงมาร์ชจุฬาภรณราชวิทยาลัย

คำร้อง วิชาญ เชาวลิต : ทำนอง กิตติ ศรีเปารยะ

ราชวิทยาลัยอันใหญ่ยิ่ง งามเพริศพริ้งคุณธรรมเลิศล้ำค่า
ทั้งศาสตร์ศิลป์เลิศล้ำทางปัญญา มุ่งศึกษาวิทยาศาสตร์ให้ก้าวไกล
ชูเชิดเทิดพระเกียรติแห่งเจ้าฟ้า องค์จุฬาภรณพระนามยิ่งใหญ่
เจ้าฟ้านักวิทยาศาสตร์ของชาติไทย ก้องเกริกไกรลือเลื่องกระเดื่องนาม
สีแสดประเสริฐเจิดจ้าองค์ฟ้าหญิง น้ำเงินมิ่งกษัตริยาฟ้าสยาม
มงคลสถิตอยู่คู่เขตคาม ปรากฏนามจุฬาภรณราชวิทยาลัย
มุ่งส่งเสริมสร้างสรรค์จรรโลงชาติ สร้างนักวิทยาศาสตร์ให้ยิ่งใหญ่
สร้างเกียรติยศชื่อเสียงให้เกรียงไกร นำชาติไทยก้าวหน้าชั่วฟ้าดิน

หวั่นโลกรับผลกระทบจากพายุสุริยะโดยตรงในรอบ 5 ปี

ภาพการประทุบนดวงอาทิตย์เมื่อวันที่ 6 มี.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งนับเป็นการการประทุครั้งรุนแรงที่พุ่งมายังโลกโดยตรงในรอบ 5 ปี


      ผู้เชี่ยวชาญหวั่นโลกรับผลกระทบจากพายุสุริยะรุนแรงโดยตรงในรอบ 5 ปี โดยเกรงว่าอนุภาคมีประจุจากดวงอาทิตย์จะปะทะโลกและทำให้เกิดการรบกวนระบบจ่ายไฟฟ้า ระบบนำทางผ่านดาวเทียมและการสัญจรของเครื่องบิน โดยเฉพาะพื้นที่ใกล้ขั้วโลกจะได้รับผลกระทบมากกว่าส่วนอื่น และดาวอังคารก็ได้รับผลกระทบด้วย
       
       บีบีซีนิวส์อ้างรายงานของผู้เชี่ยวชาญจากองค์การมหาสมุทรและบรรยากาศสหรัฐ (National Oceanic and Atmospheric Administration) หรือโนอา (NOAA) ระบุว่า ในช่วงบ่ายของวันที่ 6 มี.ค.2012 ดวงอาทิตย์ปลดปล่อยอนุภาคมีประจุมายังโลก โดยนับเป็นพายุสุริยะที่ใหญ่ที่สุดที่ปะทะโลกโดยตรงในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา และเป็นผลจากการประทุของมวลดวงอาทิตย์ 2 ครั้งในช่วงสัปดาห์นี้
       
       ด้านเว็บไซต์สเปซด็อทคอมรายงานว่าอนุภาคดังกล่าวมาถึงโลกในเวลา 13.25 น.ของวันที่ 8 มี.ค.2012 ตามเวลาประเทศไทย โดยคลาดเคลื่อนช้าหรือเร็ว 7 ชั่วโมง ส่วนบีบีซีนิวส์ระบุว่าปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนี้จะเป็นโอกาสดีให้เราได้เห็นแสงเหนือบริเวณที่อยู่ในตำแหน่งละติจูดสูง โดยขึ้นอยู่กับสภาพท้องฟ้าด้วยว่าปลอดโปร่งหรือไม่ โดยผลกระทบที่เกิดขึ้นนี้จะรุนแรงมากที่สุดในบริเวณขั้วโลก และเครื่องบินที่บินผ่านบริเวณดังกล่าวอาจต้องเลี่ยงเส้นทาง
       
       คาดว่าอนุภาคมีประจุจะพุ่งมายังโลกด้วยความเร็ว 6,400,000 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งโนอายังคาดการณ์ด้วยว่าพายุสุริยะนี้จะดำเนินต่อไปจนถึงวันศุกร์ที่ 9 มี.ค.นี้ และภาพจากบริเวณที่เกิดการประทุบนดวงอาทิตย์เผยโครงข่ายอันซับซ้อนของจุดมืด (sunspot) ที่บ่งชี้ถึงพลังงานแม่เหล็กมหาศาลที่ถูกเก็บไว้ และในช่วงหลาย 10 ปีที่ผ่านมาก็มีการสังเกตพบพายุสุริยะรุนแรงอื่นๆ ซึ่งมีการประทุขนาดใหญ่ในปี 1972 ที่ทำให้การสื่อสารทางใกล้ผ่านโทรศัพท์ในเมืองอิลลินอยส์ของสหรัฐฯ ถูกตัดขาดรวมอยู่ด้วย
       
       ส่วนเว็บไซต์องค์การบริหารการบินอวกาศสหรัฐฯ (นาซา) ระบุว่า แบบจำลองของนาซาที่อาศัยข้อมูลจากหอดูดาวอวกาศสเตอริโอ (STEREO) และหอดูดาวอวกาศโซโฮ (SOHO) ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการประทุของดวงอาทิตย์ 2 ครั้งเมื่อวันที่ 6 มี.ค.ซึ่งเป็นการพ่นมวลโคโรนาหรือซีเอ็มอี (CME) ว่า การประทุครั้งแรกนั้นอนุภาคมีประจุถูกพ่นออกมาด้วยความเร็วประมาณ 2,000 กิโลเมตรต่อวินาที และการประทุครั้งที่ 2 อนุภาคมีประจุถูกพ่นออกมาด้วยความเร็ว 1,700 กิโลเมตรต่อวินาที โดยอนุภาคมีประจุนี้จะส่งผลกระทบทั้งต่อโลกและดาวอังคาร




ดูวิดีโอเพิ่มเติมที่ http://www.youtube.com/watch?v=fVcT_fhIrEY&feature=player_embedded



การเข้าเว็บผ่าน QR CODE


กำหนดการเปิด - ปิดภาคเรียน ประจำปีการศึกษา 2554 - 2555

ดาวน์โหลดกำหนดการคลิก 

HUB

http://www.pccm.ac.th/

วันนี้ในอดีต 9 มีนาคม


โตเกียวถูกถล่มด้วยเครื่องบินทิ้งระเบิด บี-29

วันสตรีสากล


วันสำคัญของไทย


เดือนมกราคมเดือนกุมภาพันธ์เดือนมีนาคม
วันขึ้นปีใหม่
วันอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ของชาติ
วันพ่อขุนรามคำแหง
วันสถาปนาโครงการ อพป.แห่งชาติ
วันเด็กแห่งชาติ
วันครู
วันกองทัพไทย
วันนักประดิษฐ์
วันวาเลนไทม์
วันปลอดควันพิษจากไฟป่า
วันมาฆบูชา
วันทหารผ่านศึก
วันพื้นที่ชุ่มน้ำโลก
วันศิลปินแห่งชาติ
วันสหกรณ์แห่งชาติ
วันน้ำของโลก
วันกองทัพอากาศ
วันสตรีสากล
เดือนเมษายนเดือนพฤษภาคมเดือนมิถุนายน
วันข้าราชการพลเรือน
วันรักการอ่าน
วันอนุรักษ์มรดกไทย
วันเช็งเม้ง 
วันจักรี
วันประมงแห่งชาติ
วันสงกรานต์
วันผู้สูงอายุแห่งชาติ
วันครอบครัว 
วันคุ้มครองโลก
วันแรงงานแห่งชาติ
วันฉัตรมงคล
วันพืชมงคล
วันวิสาขบูชา
วันต้นไม้แห่งชาติ 
วันงดสูบบุหรี่โลก
วันสิ่งแวดล้อมโลก
วันอานันทมหิดล
วันดำรงราชานุภาพ
วันสุนทรภู่ 
วันต่อต้านยาเสพติด
เดือนกรกฎาคมเดือนสิงหาคมเดือนกันยายน
วันลูกเสือแห่งชาติ
วันอาสาฬหบูชา
วันเข้าพรรษา
วันภาษาไทยแห่งชาติ
วันรพี
วันแม่แห่งชาติ
วันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ
วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ
วันสืบ นาคะเสถียร 
วันโอโซนโลก
วันเยาวชนแห่งชาติ
วันมหิดล
เดือนตุลาคมเดือนพฤศจิกายนเดือนธันวาคม
วันสารทไทย
วันตำรวจ
วันเทคโนโลยีของไทย
วันปิยะมหาราช
วันสหประชาชาติ
วันออกพรรษา
วันเทโวโรหนะ
วันฮาโลวีน
วันลอยกระทง 
วันวชิราวุธ - วันประถมศึกษา
วันโลกต้านเอดส์
วันสิ่งแวดล้อมไทย
วันพ่อแห่งชาติ 
วันเฉลิมพระชนมพรรษา
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ 

วันรัฐธรรมนูญ 
วันกีฬาแห่งชาติ
วันคริสต์มาส
วันคุ้มครองสัตว์ป่าแห่งชาติ
วันสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
วันชาติ
วันชาติฝรั่งเศส
วันชาติมาเลย์ 
วันชาติเม็กซิโก
วันชาติซาอุดิอาระเบีย
วันชาติเยอรมนี
วันชาติสเปน
วันชาติกัมพูชา
วันชาติเลบานอน
วันชาติลาว
วันชาติฟินแลนด์
ประเพณี
เทศกาลกฐิน
ทอดผ้าป่า
ชักพระ

วันพฤหัสบดีที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2555

วันที่ 22 มีนาคม ของทุกปีเป็น “วันน้ำของโลก” หรือ “World Day for Water”


วันน้ำของโลก
ความเป็นมา
จากการที่น้ำจืดของโลกขาดแคลนมากขึ้น ในปี พ.ศ.2535 สมัชชาสหประชาชาติ ได้ประกาศให้วันที่ 22 มีนาคม ของทุกปีเป็น วันน้ำของโลก” หรือ World Day for Water โดยเริ่มต้นในปี 2536 เป็นปีแรก และชักชวนให้ประเทศต่างรับเป็นวันสิ่งแวดล้อมของชาติ เพื่อระลึกถึงความสำคัญของน้ำ ซึ่งเป็นความต้องการขั้นพื้นฐาน ของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดในโลก อีกทั้งกระตุ้นให้เกิดการตื่นตัวในหมู่มวลมนุษยชาติในเรื่องการอนุรักษ์น้ำ ช่วยกันดูแล บำรุงรักษา การพัฒนาแหล่งน้ำ และจัดการทรัพยากรน้ำจืดอย่างยั่งยืนสำหรับอนาคต ตลอดจนดำเนินการตามข้อเสนอแนะของที่ประชุมสหประชาชาติปี2535ว่าด้วยสิ่งแวดล้อมและการพัฒนา หรือที่เรียกกันว่า Agenda 21
มีการจัดกิจกรรมการประชุมระหว่างประเทศว่าด้วยเรื่องน้ำของโลกขึ้นที่ประเทศต่างๆ ดังนี้
ครั้งที่ 1: ปี 2540 ณ ประเทศโมร็อกโก
ครั้งที่ 2ปี 2543 ณ กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์
ครั้งที่ 3ปี 2546 ณ ประเทศญี่ปุ่นในการประชุมหนแรกนั้น ผู้เข้าประชุมได้ร่วมกำหนด หลักจริยธรรมในการใช้น้ำครั้งใหม่เพื่อต่อสู้กับปัญหาการขาดแคลนน้ำโลกดังนั้น การประชุมน้ำโลกในครั้งที่สองจึงเป็นการสานต่องานที่ทำค้างไว้ โดยจะมีการผลักดัน " แผนปฏิบัติการ " สำหรับน้ำในอีก 25ปีข้างหน้า เพื่อทำให้ชาวโลกมีน้ำสะอาดไว้ดื่มกิน ชำระร่างกาย และทำการเกษตรอย่างทั่วถึงในปี 2568 ผู้รับหน้าที่ทำงาน คือ " คณะกรรมาธิการโลกว่าด้วยน้ำสำหรับศตวรรษที่ 21 " ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในกรุงปารีส ฝรั่งเศส คณะกรรมาธิการชุดนี้ตั้งเป้าหมายว่า จะเพิ่มการลงทุนในการจัดหาน้ำทั่วโลกขึ้นเป็นปีละ 180,000 ล้านดอลลาร์ โดยมีภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมด้วย นายโคฟี อันนาน เลขาธิการสหประชาชาติได้มีสารเนื่องในวันน้ำโลก โดยย้ำว่า " น้ำสะอาดเป็นสิ่งพิเศษ ในศตวรรษใหม่นี้ยังไม่มีเทคโนโลยีใดที่สามารถผลิตน้ำได้ น้ำจึงไม่มีสิ่งใดมาแทนที่ หรือทดแทนได้ ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเห็นคุณค่าของน้ำและรักษาทรัพยากรนี้ไว้ " เลขาธิการยูเอนยังได้เรียกร้องให้ประชาคมโลกใช้น้ำอย่างรับผิดชอบ เพื่อให้คนจนและคนรวยได้รับน้ำอย่างเท่าเทียมกัน ในราคาที่หาซื้อได้ และว่าสิ่งท้าทายของมนุษยชาติก็คือ การจัดกิจกรรมเพื่อการอนุรักษ์น้ำ คุณภาพของน้ำ และปริมาณน้ำ ซึ่ง "สตรีเพศ" ในฐานะผู้จัดการครอบครัวจะต้องมีบทบาทสำคัญในเรื่องนี้ นอกจากนี้จะต้องมีการสร้างจิตสำนึกให้เกิดขึ้นทั่วโลกว่า น้ำเป็นสิ่งสำคัญ และมีบทบาทในการพัฒนาที่ยั่งยืน ดังนั้นชาวโลกต้องยกระดับความรู้ในเรื่องการหมุนเวียนนำน้ำมาใช้ใหม่ และการเพิ่มสมรรถวิสัยต่อการจัดการทรัพยากรน้ำที่หายากนี้ ซึ่งทั้งหมดนี้ จะบรรลุผลได้ด้วยการดึงสติปัญญาของมนุษย์ออกมมาใช้ และส่งเสริมวัฒนธรรมการอนุรักษ์น้ำ ตลอดจนการ " ปฏิวัติสีน้ำเงิน "
หน่วยงานของสหประชาชาติ 2 แห่ง ซึ่งมีหน้าที่ดูแลเรื่องน้ำโดยตรง คือ องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ(ยูเนสโก้) กับคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมสำหรับเอเชียและแปซิฟิก (เอสเคป) ได้เผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับน้ำทั่วโลก ซึ่งน่าสนใจและมีหลายเรื่องที่คนทั่วยังไม่รู้และนึกไม่ถึง กล่าวคือ ยูเนสโกและเอสเคประบุว่า พื้นผิวโลก2ใน3ปกคลุมด้วยน้ำแต่เป็น " น้ำเค็ม " จากทะเลและมหาสมุทรทั้งหมด ส่วน " น้ำจืด " ซึ่งจำเป็นต่อการยังชีพของมนุษย์นั้น ครอบคลุมเพียงร้อยละ ของผิวโลกเท่านั้น แต่ " แหล่งน้ำจืด " ส่วนใหญ่จะอยู่บริเวณขั้วโลกเหนือ,ใต้และธารน้ำแข็ง หรือซึมอยู่ใต้ผิวดินลึก จนมนุษย์ไม่สามารถนำมาใช้ได้ ส่วนแหล่งน้ำจืดที่ใช้ได้จริงๆมีเพียงร้อยละ 0.25 เท่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่หาได้จากแม่น้ำ ทะเลสาบ และแหล่งน้ำใต้ดิน แหล่งน้ำจืดเพียงน้อยนิดนี้เองที่เป็นตัวหล่อเลี้ยงชีวิตพลโลกกว่า 6,000ล้านคน ซึ่งแน่นนอนว่าย่อมไม่เพียงพอ ในขณะที่ความต้องการใช้น้ำของมนุษย์กลับมีมากขึ้นทุกวัน และมีการใช้ทรัพยากรน้ำอย่างไม่บันยะบันยัง ทำให้ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศของน้ำจืด จนตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายอย่างยิ่ง ยูเอนได้ยกตัวอย่างพฤติกรรมการใช้น้ำของมนุษย์ว่า ในแต่ละวันมนุษย์ต้องดื่มน้ำอย่างน้อย 2-5 ลิตร ใช้ชักโครกโถส้วม 5-15 ลิตร ใช้อาบน้ำ 50-200 ลิตรขณะที่ใช้น้ำเพื่อการชลประทานและการเกษตร ราวร้อยละ 70 ของน้ำทั้งหมด แต่ครึ่งหนึ่งต้องสูญเปล่าเพราะซึมลงไปในดินหรือไม่ก็ระเหยขึ้นสู่อากาศหมด กรุงเทพมหานครของไทย ได้ชื่อว่าเป็นพื้นที่เมืองที่ผลาญทรัพยากรน้ำมากที่สุดในโลก เฉลี่ยแล้วใช้น้ำราว 265 ลิตรต่อคนต่อวัน ขณะที่ชาวฮ่องกงใช้น้ำเปลืองน้อยที่สุดในโลก เพียง 112 ลิตร ต่อคนต่อวัน
การใช้ทรัพยากรน้ำอย่างไม่รับผิดชอบทำให้การไหลเวียนของแม่น้ำหยุดชะงักลง ระดับน้ำในแม่น้ำและน้ำใต้ดินลดลงอย่างต่อเนื่อง พื้นที่ลุ่มดินเปียกหายไป สภาพปนเปื้อนพิษจากมลพิษต่างๆทำให้คุณภาพน้ำลดลง จำนวนน้ำสะอาดก็ลดลงเช่นกัน นอกจากนี้การขยายตัวอย่างรวดเร็วของประชากรโลกก็มีส่วนทำให้จำนวนน้ำจืดสำหรับใช้ในรายบุคคลลดลงอย่างต่อเนื่องเช่นกัน ที่น่าเป็นห่วงคือ น้ำที่ปนเปื้อนมลพิษและขาดสุขลักษณะ เป็นสาเหตุทำให้เด็กทารก ในเอเชียและแปซิฟิกเสียชีวิตกว่าปีละ แสนคน นอกจากนี้สถิติของสหประชาชาติเมื่อสิ้นปี2542 พบว่ามีประชากรโลกราว 2,400ล้านคน ไม่ได้รับความสะดวกสบายจากระบบสุขอนามัยเกี่ยวกับน้ำที่ทันสมัย หน่วยงานของสหประชาชาติได้เสนอแนะทางออกในปัญหานี้หลายข้อ อาทิ การอนุรักษ์น้ำ การบำบัดน้ำเสียการปรับเปลี่ยนหมุนเวียนนำน้ำกลับมาใช้ใหม่ การจัดการเรื่องน้ำและดินให้เหมาะสม การทำวิจัยแหล่งทรัพยากรที่มีอยู่ ออกกฎหมายการใช้น้ำที่ทันสมัย การจัดสรรน้ำอย่างเสมอภาค และการปลุกจิตสำนึกในหมู่ประชาชนให้ตระหนักถึงคุณค่าความสำคัญของน้ำ  ยิ่งกว่านั้น การแก้ปัญหาเรื่องน้ำยังต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่ายไม่ว่าจะเป็น ตัวบุคคล องค์กร อาสาสมัคร ภาคอุตสาหกรรม รัฐบาลท้องถิ่น รัฐบาลกลาง ตลอดจน องค์กรระหว่างประเทศ ซึ่งความร่วมมือระหว่างประเทศนี้เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง
และในการประชุมครั้งที่ 3 ณ ประเทศญี่ปุ่น ประเทศไทยได้เป็นส่วนหนึ่งที่จะเข้าร่วมการประชุมดังกล่าวร่วมกับประเทศอื่น ๆ อีกประมาณ 200 ประเทศ
การประชุมครั้งนี้ รัฐบาลไทยจะมีส่วนร่วมที่สำคัญในการประชุม ประการได้แก่
1. การเสนอรายงานโครงการประเมินสถานการณ์น้ำของโลกในส่วนของประเทศไทยกรณี ศึกษาการพัฒนาและบริหารลุ่มน้ำเจ้าพระยา
2. การเสนอแผนปฏิบัติการทรัพยากรน้ำ ของประเทศไทย
3. การประชุมและจัดทำแถลงการณ์ร่วมระดับรัฐมนตรี
ในการประชุมระดับโลกทุกครั้งที่ผ่านมา สถาบันการจัดการน้ำระหว่างประเทศหรือสถาบันการเงินระหว่างประเทศที่มีบทบาทเป็นผู้สนับสนุนการประชุมดังกล่าว อาทิเช่น World Water Council (WWC), Clobal Water Partnership (GWP) และธนาคารโลก ต่างใช้โอกาสนี้ในการนำเสนอทิศทางหรือการจัดทรัพยากรน้ำและการแบ่งปันผลประโยชน์ (Water Resources Management and Benefit Sharing) โดยมีประเด็นใจกลาง 4ประเด็น ได้แก่ หุ้นส่วนระหว่างภาครัฐ – เอกชน (Public Private Partnership), เขื่อนกับการพัฒนา (Dam and Development Partnership), ค่าคืนทุน (Cost Recovery), การบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการ (Integrated Water Resources Management) ซึ่งสรุปในแต่ละประเด็นได้ดังนี้
การแปรรูปกิจการประปาหรือระบบชลประทานของรัฐ (Privatization) ภายใต้แนวทาง ที่เรียกว่า Public Private Partnership (PPP) ซึ่งเป็นแนวทางที่ถูกผลักดันจากการประชุมระดับนานาชาติมาก่อนหน้านี้แล้ว เช่น การประชุมเรื่องน้ำจืดโลกที่กรุงบอน เดือนธันวาคม 2544 หรือ การประชุมที่โจฮันเนสเบิร์ก แนวทางเช่นนี้ถูกใช้เพื่อรองรับความชอบธรรมให้บริษัทข้ามชาติด้านกิจการน้ำประปาเข้ามา ลงทุนหรือรับสัมปทานในประเทศกำลังพัฒนารวมทั้งประเทศไทย ซึ่งในหลายประเทศได้เกิดปัญหาความขัดแย้งในสังคมสูงมาก เช่น ประเทศโบลิเวีย
แนวความคิดในเรื่องการคิดค่าคืนทุนระบบชลประทานหรือระบบการลงทุนด้านการจัดหาน้ำเพื่อเป็นหลักประกันให้กับบริษัทที่มาลงทุนในแต่ละประเทศ และการส่งเสริมระบบการค้าเสรีของโลก
การส่งเสริมโครงการพัฒนาแหล่งน้ำในรูปแบบของเขื่อนขนาดใหญ่ เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำ และเพื่อการบรรเทาน้ำท่วม ซึ่งผลักดันโดย UNDP ได้จัดทำโครงการ Dam and Development Partnership และ World Commission on Dam (WCD) การบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการ หรือ Integrated Water Resources Management (IWMI) โดยมีแนวทางให้เกิดองค์กรระดับลุ่มน้ำ เพื่อทำหน้าที่บริหารจัดการน้ำให้เกิดประโยชน์สูงสุด (โดยเฉพาะทางเศรษฐกิจ)

ที่มา : http://www.geocities.com/Eureka/Park/1476/waterday.html
http://www.lungkao.org/xboard/viewthread.php?tid=48
http://www.deqp.go.th/news_pr/env_day/water_day.html